ไลโคปีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ซึ่งสูงกว่าทั้งวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน มีงานวิจัยมากมายถึงประสิทธิภาพของสารไลโคปีนในการรับประทานเพื่อป้องกันมะเร็งหลายชนิด รวมทั้งโรคหัวใจ และยืดอายุขัยของมนุษย์
ไลโคปีน มีมากในมะเขือเทศ และเป็นสารที่ทำให้มะเขือเทศมีสีแดง ไลโคปีนยังมีในพืช และผลไม้อื่นๆ แต่มีในจำนวนน้อยกว่าที่มีในมะเขือเทศมาก ได้แก่ แตงโม ฝรั่ง และเกรฟฟรุ๊ตสีชมพู เมื่อผัก หรือผลไม้โดนความร้อน ไลโคปีนจะออกมามากขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น ดังนั้นมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะให้ไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศที่ไม่ผ่านความร้อน และเนื่องจากไลโคปีนเป็นสารที่ละลายในน้ำมัน ดังนั้น ไลโคปีนจะถูกดูดซึมได้ดีที่สุดเมื่อกินร่วมกับน้ำมัน หรือไขมันในอาหาร
ไลโคปีนมีชื่อเสียงโด่งดังในทางการแพทย์มานาน ในบทบาทของสารอาหารที่รับประทานเพื่อต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ปัจจุบันมีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนว่า การรับประทานไลโคปีนอย่างสม่ำเสมอ ยังช่วยป้องกันมะเร็งชนิดอื่นๆได้ด้วย เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก รวมทั้งป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้ด้วย
ไลโคปีนยับยั้งมะเร็งต่อมลูกหมาก มีงานวิจัยตีพิมพ์เรื่องการรับประทานไลโคปีน ช่วยลดค่า PSA (Prostate Specific Antigen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างจากเซลล์ในต่อมลูกหมาก ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่มีระดับต่ำกว่า 4 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร (ng./ml.) ในเลือด เมื่อมะเร็งต่อมลูกหมากโตขึ้นค่า PSA มักจะมากกว่า 4 ng./ml. ผู้ชายที่มีระดับ PSA อยู่ระหว่าง 4-10 ng./ml. มีประมาณ 1 ใน 4 คนมีโอกาสของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หาก PSA มีมากกว่า 10 ng./ml. โอกาสของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นมากกว่า 50%
งานวิจัยชิ้นนี้ ถูกนำเสนอในงานประชุมประจำปีของสมาคมนักเคมีสหรัฐอเมริกา (American Chemical Society) ปี 2001 โดยในงานวิจัยใช้อาสาสมัครชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากแล้ว จำนวน 32 คน และกำลังรอรับการรักษาโดยการฉายรังสี อาสาสมัครทั้ง 32 คนได้รับอาหารที่มีซอสมะเขือเทศ ซึ่งให้ปริมาณไลโคปีนประมาณ 30 มก./วัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ผลการวิจัยปรากฏว่า หลังจากอาสาสมัครได้รับไลโคปีน 30 มก./วันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ค่าเฉลี่ยของ PSA ในเลือดลดลงถึง 17.5% ค่าอนุมูลอิสระลดลง 21.3% ค่า DNA ที่ถูกทำลายโดยเซลล์มะเร็งลดลง 40% นักวิจัยพบว่า ปริมาณไลโคปีนที่เข้มข้นในเนื้อเยื่อต่อมลูกมากกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากให้เพิ่มสูงถึง 3 เท่า
มีงานวิจัยอีกมากกว่า 70 งานวิจัยที่ยืนยันผลของการรับประทานไลโคปีน ที่มีต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหลายชนิด ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด แต่นอกจากนั้นยังมี มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทรวงอก มะเร็งช่องปาก มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งหลอดอาหาร
ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ทำให้การรับประทานไลโคปีน ป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระไปทำลายไขมัน โปรตีน และ DNA ในเซลล์ ทำให้ป้องกันโรคที่เกิดจากความเสื่อมได้หลายชนิด รวมทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางระบบประสาท โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และภาวะกระดูกพรุน
โลโคปีนป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชื่อ Eur J Cardiovasc Prev Rehabil ปี 2009 ระบุว่า คนที่มีระดับไลโคปีนในเลือดต่ำ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาขึ้น และแข็งกระด้างขึ้น ยืดหยุ่นน้อยลง งานวิจัยพบว่า คนที่พบภาวะหลอดเลือดแคโรทิค อาร์เตอร์รี่ (Carotid Arteries)แข็ง ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้า จะมีระดับไลโคปีนในเลือดต่ำกว่าคนที่มีหลอดเลือด Carotid Arteries ปกติ ในขณะเดียวกัน คนที่มีระดับไลโคปีนในเลือดสูง จะลดโอกาสเกิดหลอดเลือดแดงแข็งลงถึง 45% และมีหลอดเลือดที่ยืดหยุ่นกว่า คนที่มีระดับไลโคปีนในเลือดต่ำ และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจวายที่ต่ำกว่า
งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชื่อ Br J Nutr. ปี 2007 ระบุว่าการรับประทานไลโคปีนลดโคเลสเตอรอลรวมในเลือดลง 5.9% และ ลด LDL โคเลสเตอรอลลง 12.9% งานวิจัยในวารสารการแพทย์ชื่อ Atherosclerosis ปี 2011 ระบุว่า การรับประทานไลโคปีนเพียง 15 มก./วัน ทำให้ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นขึ้นถึง 23% และค่าการอักเสบที่ชื่อ C-Reactive Protein (Hs-CRP) ลดลงอย่างมาก
ไลโคปีนกับการรักษาสิวอักเสบ การรับประทานไลโคปีนทำให้ต่อมไขมันบนใบหน้าทำงานได้ดีขึ้น ทำให้รูขุมขนบนใบหน้ากระชับขึ้น ป้องกันการเกิดสิวที่เกิดจากใบหน้ามัน และการอุดตันของต่อมไขมัน ลดโอกาสเกิดสิวอักเสบจากฮอร์โมนเพศชายเฉพาะที่ โดยการลดการเปลี่ยนของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนไปเป็นไดไฮโดรออกซีเทสโทสเทอโรน (DHT) ทำให้ลดการเกิดหน้ามัน สิวอักเสบ ผมร่วง และมะเร็งต่อมลูกหมากได้
References
เอกสารเพื่อการอบรมภายในบริษัทเท่านั้น